เทคนิคดูแลตัวเองขณะตั้งครรภ์ เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณแม่และทารกในครรภ์

เทคนิคดูแลตัวเองขณะตั้งครรภ์ เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณแม่และทารกในครรภ์

คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์หรือกำลังวางแผนจะมีบุตรนั้น มักมีความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ ความแข็งแรง ความสมบูรณ์ของตนเองและลูกในครรภ์มากที่สุด ดังนั้นคุณแม่จะต้องดูแลตนเองโดยเริ่มตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ ระหว่างตั้งครรภ์ เพื่อให้มีสุขภาพดีทั้งคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์นั่นเอง

วิธีการดูแลสุขภาพคุณแม่ตั้งครรภ์

ฝากครรภ์ตอนไหน?

ควรฝากครรภ์ทันที เมื่อทราบว่าตัวเองตั้งครรภ์

เพราะเมื่อฝากครรภ์คุณแม่และทารกในครรภ์ก็จะได้รับการตรวจสุขภาพอย่างละเอียด เพื่อตรวจความผิดปกติของครรภ์ ความเสี่ยงของโรคต่างๆ โรคทางพันธุกรรม รวมถึงการรับคำแนะนำวิธีดูแลครรภ์ วิตามินบำรุงครรภ์ และวางแผนการดูแลตัวเองขณะตั้งครรภ์ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมที่สุด

โดยจะมีการตรวจสุขภาพ ดังนี้

  • ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC)
  • ภาวะโรคโลหิตจาง หรือธาลัสซีเมีย
  • การตรวจโรคติดเชื้อต่างๆ เช่น ซิฟิลิส HIV ไวรัสตับอักเสบบี
  • ภูมิคุ้มกันหัดเยอรมัน (ตรวจเฉพาะคุณแม่)
  • ตรวจมะเร็งปากมดลูก
  • อัลตราซาวนด์รังไข่และมดลูก

ตรวจอัลตราซาวนด์ คืออะไร?

การอัลตราซาวนด์ คือ การตรวจโดยใช้คลื่นเสียงที่ส่งออกไปแล้วสะท้อนกลับออกมาเป็นรูปภาพซึ่งมีความปลอดภัยต่อคุณแม่และทารกในครรภ์

ปัจจุบันหากอายุครรภ์ 7 เดือนเป็นต้นไป สามารถอัลตราซาวนด์ รูปแบบ 4 มิติ ภาพเสมือนจริงได้ แต่จะมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงกว่าการอัลตราซาวนด์ทั่วไป โดยปกติแล้วคุณแม่ตั้งครรภ์ควรทำการอัลตราซาวนด์ อย่างน้อยที่สุดจำนวน 2 ครั้ง

  • ครั้งแรก ตรวจความปกติของครรภ์ ว่าเป็นการตั้งครรภ์ในมดลูก หรือตั้งครรภ์นอกโพรงมดลูก
  • ครั้งที่สอง ช่วงอายุครรภ์ 18-20 สัปดาห์ ตรวจความสมบูรณ์ของอวัยวะต่างๆ ของทารกในครรภ์ และความผิดปกติหรือความพิการที่อาจเกิดขึ้นได้

ภาวะเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น หากคุณแม่ตั้งครรภ์เมื่อมีอายุมาก

  1. ดาวน์ซินโดรม หากคุณแม่ตั้งครรภ์เมื่อมีอายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป จะทำให้ทารกมีโอกาสเสี่ยงเป็นภาวะดาวน์ซินโดรมได้ง่าย
  2. ภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์
  3. ภาวะครรภ์เป็นพิษ หรือความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์

วัคซีนที่จำเป็นสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

โดยมีวัคซีนสำคัญที่แนะนำให้ฉีด ได้แก่

  1. วัคซีนบาดทะยัก
  2. วัคซีนไอกรน
  3. วัคซีนป้องกัน Covid-19

การดูแลและปฏิบัติตัวขณะตั้งครรภ์ ในแต่ละไตรมาส

วิธีการดูแลคุณแม่ตั้งครรภ์ จะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละไตรมาส โดยเฉพาะเรื่องสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย จะต้องเลือกรับประทานอาหารที่สด สะอาด ปรุงสุกใหม่ และควรดื่มน้ำสะอาดเฉลี่ยวันละ 8-10 แก้ว เป็นต้น

การดูแลและปฏิบัติตัวขณะตั้งครรภ์ ในแต่ละไตรมาส ของคุณแม่ตั้งครรภ์

การดูแลครรภ์ 1-3 เดือน

ไตรมาสที่ 1 (อายุครรภ์ 0-3 เดือน) เป็นช่วงที่ทารกมีการสร้างอวัยวะ ยังไม่มีการขยายขนาดของร่างกายมากนัก น้ำหนักตัวคุณแม่อาจเพิ่มขึ้น 1-2 กิโลกรัม แต่ถ้ามีอาการแพ้ท้องก็อาจทำให้น้ำหนักตัวลดลงไปบ้าง พลังงานสารอาหารที่ร่างกายควรได้รับในระยะนี้ใกล้เคียงกับก่อนตั้งครรภ์ หากแพ้ท้องมากทำให้รับประทานอาหารได้น้อย ควรแบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อย่อยๆ แต่รับประทานให้บ่อยขึ้น

ข้อห้ามคนท้อง 1-3 เดือน

  • ถ้าท้องผูกมากควรปรึกษาแพทย์ ไม่ควรซื้อยาระบายท้องรับประทานเอง
  • ไม่ควรกลั้นปัสสาวะนาน เนื่องจากจะทำให้กระเพาะปัสสาวะ และกรวยไตอักเสบได้
  • ยังไม่ควรออกกำลังกาย เพราะจะทำให้ร่างกายเหนื่อย อ่อนเพลีย หรือกระทบกระเทือนท้องได้
  • ควรงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ในระยะ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ แต่ในรายที่เคยแท้งควรงดเว้นใน 1 เดือน สุดท้ายก่อนคลอด

การดูแลครรภ์ 4-6 เดือน

ไตรมาสที่ 2 (อายุครรภ์ 4-6 เดือน) ระยะนี้ทารกกำลังสร้างอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย และมีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น จำเป็นต้องใช้พลังงานและสารอาหารสำหรับทารก และสำหรับร่างกายของคุณแม่เองด้วย จึงจำเป็นต้องรับประทานอาหารที่มีพลังงานและสารอาหารสูงกว่าคนทั่วไป และควบคุมน้ำหนักตัวให้เพิ่มขึ้นตามเกณฑ์ คือ 0.5 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ หรือ 2 กิโลกรัมต่อเดือน

ในไตรมาสที่ 2 นี้ คุณแม่สามารถเริ่มออกกำลังกายได้แล้ว แนะนำการออกกำลังกายที่เสริมสร้างกล้ามเนื้อ เพื่อเตรียมตัวรับกับขนาดท้องที่โตขึ้น และน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น

การดูแลครรภ์ 7-9 เดือน

ไตรมาสที่ 3 (อายุครรภ์ 7-9 เดือน) เป็นช่วงที่ทารกขยายขนาดร่างกายเพิ่มขึ้นมาก รวมถึงการสร้างกระดูกและฟัน จึงควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง เน้นอาหารที่มีกรดไขมัน โอเมก้า3 ซึ่งเป็นกรดไขมันดี ได้แก่ ปลาทู ปลาจะละเม็ด เป็นต้น

แนะนำให้ออกกำลังกายเฉพาะส่วน สำหรับการออกกำลังกายที่แนะนำ ได้แก่ การเดิน การว่ายน้ำ การเต้นแอโรบิค การปั่นจักรยานอยู่กับที่ โยคะ เป็นต้น ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพร่างกาย และภาวะตั้งครรภ์เสี่ยงก่อนการออกกำลังกาย ไม่ออกกำลังกายประเภทใช้แรงเยอะ หรือเกร็งหน้าท้อง

ทั้งนี้ ไม่ควรรับประทานแบบตามใจปาก หรือรับประทานเป็น 2 เท่าเผื่อทารกในครรภ์ แต่ควรเลือกอาหาร พวกโปรตีน และรับประทานอาหารจำพวกแป้งและไขมันอย่างพอดี เพราะถ้าคุณแม่ตั้งครรภ์มีน้ำหนักมากเกินไป อาจเสี่ยงจากโรคแทรกซ้อน เช่น น้ำตาลในเลือดสูง หรือความดันโลหิตสูงได้

อาการผิดปกติของคุณแม่ตั้งครรภ์ ที่ควรพบแพทย์

– คลื่นไส้ อาเจียนมากว่าปกติ

  – ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว

  – ปัสสาวะขัดแสบ มีไข้สูง

  – ตกขาว มีกลิ่นเหม็น มีสีเขียวปนเหลือง คันช่องคลอด

  – บวมตาหน้า มือ และเท้า

  – ลูกดิ้นน้อยลงจนผิดสังเกต อย่ารอจนลูกไม่ดิ้น

  – มีเลือดออกทางช่องคลอด

  – มีน้ำใส ๆ คล้ายปัสสาวะออกทางช่องคลอด

  – ปวดท้อง หรือท้องแข็งเกร็งบ่อยมาก

  – มีเลือดออกทางช่องคลอด

 

นอกจากนี้ คุณแม่ตั้งครรภ์ควรดูแลรักษาสภาพจิตใจให้ดี ไม่เครียด หรือวิตกกังวลมากจนเกินไป เพราะจะส่งผลต่อลูกน้อยในครรภ์ได้ ดังนั้นการปฏิบัติตามคำแนะนำข้างต้นอย่างเคร่งครัด เป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมากสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือกำลังวางแผนที่จะมีบุตร เพื่อสุขภาพที่ดีทั้งของคุณแม่และทารกในครรภ์ รวมถึงการมีพัฒนาการที่ดีนั่นเอง